หลายคนอาจเคยได้ยินข่าวเรื่องการปรับเงื่อนไข
ประกันสุขภาพ แบบ New Health Standard
ที่ปีหน้ามีแนวโน้มเปลี่ยนเป็นแบบ Copayment มากขึ้น
[ อ้างอิงจากมาตรฐานประกันสุขภาพรูปแบบใหม่
(New Health Standard) จาก คปภ.
หากผู้เอาประกันมีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน
ด้วยโรคป่วยเล็กน้อยทั่วไป (Simple Disease)
เกินระดับ 200% ขึ้นไป และเบิกเคลม 3 ครั้งติดต่อกัน
ในปีกรมธรรม์ จะให้มีการบังคับใช้ให้ผู้เอาประกัน
มีส่วนร่วมจ่าย กับตัวบุคคลนั้น ๆ ได้สูงถึงระดับ 30% ]
Copayment หรือ การมีส่วนร่วมจ่าย
หมายถึง เวลาเราไปหาหมอโรงพยาบาล
เราต้องจ่ายค่ารักษาร่วมด้วยทุกครั้ง ยกตัวอย่าง
Copayment 30% เวลาไปหาหมอค่ารักษา 10,000 บาท
เราต้องจ่ายเอง 3,000 บาท บริษัทประกันจ่ายให้ 7,000 บาท
(ลองนึกภาพ ผ่าตัดใหญ่ทีนึง ค่าใช้จ่ายหลักแสนหลักล้าน
และเราต้องจ่ายเอง คิดเป็นเงินเท่าไร
)
ก่อนอื่นต้องอธิบายนิดนึง เกี่ยวกับตัวละครสำคัญ
ใน Ecosystem ธุรกิจประกัน มี 4 กลุ่ม
1) ผู้บริโภค (Users)
2) โรงพยาบาลเอกชน (Health Care Providers)
3) บริษัทประกัน (Insurers)
4) คปภ. (Regulator)
ที่มาของเรื่องนี้ เกิดจากสองสาเหตุ คือ
1. ปัญหาการเคลมเยอะโดยผู้บริโภค
เวลาเจ็บป่วยเล็กน้อยด้วยโรคทั่วไป (Simple Disease)
เช่น ไอ เป็นหวัด เป็นไข้ ท้องเสีย ฯลฯ
ซึ่งเป็นการรักษาแบบผู้ป่วยนอก (OPD)
แต่บางคนอาจไปต่อรองเพื่อขอนอนโรงพยาบาล
เพื่อไปเบิกเคลมค่ารักษาแบบผู้ป่วยใน (IPD)
ทำให้โรงพยาบาลต้องใช้ Facilities ตรงนี้ ซัพพอร์ต
(เช่น เตียง ห้องพัก อาหาร ยา หมอ พยาบาล ฯลฯ)
มากเกินมาตรฐานและความจำเป็นทางการแพทย์
2. เงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นทุกปี
เพราะในบ้านเรา ไม่มีองค์กรไหนที่กำกับดูแล
เรื่องค่ารักษาพยาบาลอย่างเป็นรูปธรรม
(เหมือนในอุตสาหกรรมอาหารมี องค์การ อย.คอยดูแล)
ด้วยเทคโนโลยี และ กลไกราคาในตลาด
ประเด็นนี้เลยเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อน
พอเรื่องนี้ถูกหยิบยกขึ้นมา ผู้บริโภคหลายคน
อาจจะไม่เข้าใจ และไม่คิดว่ามันเป็นปัญหาตรงไหน
ต้องบอกว่า ตอนนี้เมืองไทยโชคดีมากๆนะ ที่ยังมี
ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายอยู่ และยังเลือกซื้อได้
ประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ ประกันสุขภาพ
เดี๋ยวนี้เป็นแบบ Copayment เกือบหมดแล้ว เช่น สิงคโปร์
เพราะช่วยป้องกัน การใช้ประกันและเบิกเคลม
” เกินความจำเป็น” (Overclaimed) ของผู้บริโภค
อัตราการใช้ประกัน จะลู่เข้าสู่ “ความเป็นจริง” มากขึ้น
ทำให้กลไกด้านราคา/ค่ารักษาพยาบาล
ในบริษัทเอกชน สะท้อนกับความเป็นจริงมากขึ้น
ไม่เฟ้อหนักเท่าทุกวันนี้ (ประมาณ 9-10% ต่อปี)
อีกทั้งยังช่วยให้บริษัทประกันสามารถบริหารพอร์ต
ค่าใช้จ่ายได้ดียิ่งขึ้น บริหาร Loss Ratio
(อัตราส่วนค่าสินไหมเทียบกับเบี้ย) ได้ดีขึ้น
หลายคนอาจจะโจมตี อาจจะมองว่า
บริษัทประกันใจร้ายบ้าง เอาเปรียบผู้บริโภคบ้าง
อยากให้มองว่า บริษัทประกัน ก็เหมือนกับ ธุรกิจนึง
เวลาทำธุรกิจแล้วขาดทุน เราก็ต้องทำอะไรบางอย่าง
ไม่งั้นบริษัทต่างๆก็คงอยู่ไม่ไหวเหมือนกัน ถูกต้องมะ?
เหมือนประกันเด็กที่ตอนนี้ทุกบริษัทแบกรับไม่ไหว
จนประกันเด็กต้องปิดตัวลงไป
หรือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในการทำ
ไม่เหมาจ่ายตั้งแต่บาทแรกเหมือนแต่ก่อน
เนื่องจากเด็กเล็ก Sensitive ต่อโรคภัย ป่วยง่าย
และค่าใช้จ่ายสูงมากเวลาเข้าโรงพยาบาลทีนึง
แต่จุดดีอย่างนึง ณ วันนี้
ในวันที่ไม่มีประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ
การทำประกันสุขภาพจะยึดตามเงื่อนไขปัจจุบัน
บริษัทหลายๆแห่ง *มักจะยังไม่ยุ่งกับพอร์ตลูกค้าเดิม
เช่น เพิ่มเบี้ยประกัน เทลูกค้ากลางทาง ฯลฯ
เพราะมันคือสัญญาที่ทำ ณ วันเริ่มทำประกัน
(แต่สำหรับลูกค้าในอนาคตไม่มีใครรู้…)
ใครที่ยังลังเลว่าจะทำประกันสุขภาพดีไหม
หรือปีหน้าค่อยเริ่มทำ พอเห็นข่าวนี้
อาจจะต้องชั่งน้ำหนักอีกที!?
การตัดสินใจช้า หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า
มันมีราคาที่ต้องจ่ายแพงมาก
สำหรับคนที่เริ่มมีโรคประจำตัว การยื่นทำประกัน
อาจทำไม่ได้หรือติดข้อยกเว้นบางอย่าง
แต่สำหรับคนที่สุขภาพแข็งแรงปกติ
…และอยากมีประกันติดตัวสักเล่ม
หากตัดสินใจเริ่มทำช้า หรือค่อยทำในอีกปีสองปีข้างหน้า
อาจจะได้ประกันที่ไม่ครอบคลุมทุกอย่างเท่าวันนี้แล้ว
(เหมือนกับประกันเด็กที่เหมาจ่ายตั้งแต่บาทแรก
จะกลายเป็นของแรร์ไปในทันที ใครที่มีรีบกอดไว้แน่นๆ)
…
เพราะเวลาที่ดีที่สุด…ในการทำประกันสุขภาพ
คือ วันนี้
ไม่แน่ว่า ต่อไป อนาคต การมีประกันสุขภาพเหมาจ่าย
ดีๆสักเล่ม อาจเป็นของหายาก…ก็เป็นได้